โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์
ในบทความเกี่ยวกับเรื่องภาษาคอมพิวเตอร์นี้ เราจะกล่าวถึงภาษาที่หลากหลายรูปแบบ และหลักเกณฑ์ต่างๆที่ช่วยให้มีความเข้าใจ ในคอมพิวเตอมากยิ่งขึ้น
ภาษาที่ใช้กันในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน ตามความต้องการ โดยภาษาที่เครื่องจะเข้าใจเรียกวา ภาษาเครื่อง (Machine Language) จะต้องอยู่ในรูปของ เลขฐานสองที่นำมาแทนสัญลกษณ์ต่าง ๆ อาจจะเป็นตัวอักษรหรือตัวเลขก็ได้ ภาษาทเครื่องเข้าใจนมนุษย์เข้าใจยาก จะต้องรู้เรื่องของฮาร์ดแวร์จึงได้มีการพัฒนาเป็นภาษาที่มนุษย์เข้าใจ เรียกว่า ภาษามนุษย์ (Human Oriented Language) ซึ่งภาษาเหล่านี้จะต้องถูกแปลให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่องก่อน
ภาษาคอมพิวเตอร์กมการพัฒนาหรือวิวัฒนาการมาโดยลำดับเช่นเดียวกบคอมพิวเตอร์
โดยสามารถ แบ่งเป็นรุนของภาษา (Generation) ได้ดังต่อไปนี้
ภาษาเครื่อง (Machine Language)
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language)
ภาษาระดับสง (High-level Language)
ภาษาระดับสูงมาก (Very High-level Language)
ภาษาธรรมชาติ (Natural Language)
หรือ ภาษารุ่นที่ 1 เป็นภาษาหรือคำสั่งที่ใช้ในการสั่งงานหรือติดต่อกับเครื่องได้โดยตรง เครื่อง คอมพิวเตอร์ทุกชนิด ทุกขนาด จะทางานใด ๆ ได้ด้วยภาษาเคื่รองนี้ ลักษณะสำคญของภาษาเครื่องคือ เขียนอยู่ ในรหัสของเลขฐานสอง ซึ่งความจริงคือลักษณะของสัญญาณทางไฟฟ้า เพื่อสะดวกในการเขียนโปรแกรมจึงได้ แปลงลักษณะสัญญาณไฟฟ้าให้ตรงกับรหัสของเลขฐานสอง มีสัญลักษณ 2 ตัวคือ 0 กับ 1
- Op Code (Operation Code) คือ รหัสคำสั่งที่บอกให้เครื่องทำงาน เช่น ให้หยึดทางานหรือทำการ บวก ลบ คูณ หาร
- Operand คือ ส่วนที่เก็บตำแหน่งของข้อมูล เป็นส่วนที่บอกให้ทราบว่าจะนำข้อมูลส่วนใดมา ทำงาน และนำผลลัพธ์ไปเก็บที่ไหน
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ภาษารุ่นที่ 3 เป็นภาษาที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อความสะดวกและคล่องตัวขึ้นในการ ใช้งาน ภาษาระดับสูงนี้เป็นภาษาที่มีรูปแบบและความหมายใกล้เคียงกับภาษามนุษย์ที่ใช้น้อยในปัจจุบัน นัก โปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมเป็นคำสั่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกับงาน เพราะคำสังที่ใช้ถูกจำกัดใหม่ความ หมายแน่นอนลงไป สะดวกแก่การเข้าใจ นอกจากนี้โปรแกรมอาจจะไม่จำเป็นต้องเข้าใจระบบการทำงานภาย ในเครื่องมาก เพราะการเขียนโปรแกรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะการทำงานภายในเครื่อง
ย่อมาจาก FORmula TRANslator เป็นภาษาชั้นสูงภาษาแรกที่มีการใช้แพร่หลาย พัฒนาขึ้นในกลางปี ค.ศ. 1950 โดย JIM BACKUS ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมของ IBM เหมาะสมกับงานทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิศวกรรม ซึ่งมีการคำวณที่ยุ่งยากซับซ้อน ลักษณะของภาษาทคล้ายคลึงกับสูตร หรือสมการทาง คณิตศาสตร์และภาษานี้ยังได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็น FORTRAN 77 ซึ่งประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ไม่เหมาะสมกับงาน ทางการพิมพ์ หรืองานที่ต้องการเก็บข้อมูลเป็นไฟล์ (File)
ย่อมาจาก COmmon Business-Oriented Language เดิมภาษานี้เรียกว่า CODASYL (COnference DAta SYstems Language) ได้มีการพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1960 โดยกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา เป็น ภาษาที่นิยมใช้สำหรับงานทางด้านธุรกิจ สามารถใช้งานได้ทั้งบนเครื่องพีซี มินิคอมพิวเตอร์ และเมนเฟรม นอก จากนภาษาโคบอลยังเหมาะกับงานด้านการจัดการไฟล์ของข้อมูล งานที่มีข้อมูลมาก ๆ เพราะมีคำสั่ง ต่างๆ ที่ ใช้กับไฟล์มาก และสามารถใช้กับงานที่ต้องการออกรายงาน (Report) ที่ต้องการความสวยงามได้ คำสั่งต่างๆ ในภาษา COBOL มีลักษณะคล้ายกับภาษาอังกฤษ เข้าในง่าย มีกฎเกณฑในการเขียนที่ละเอียด แต่การทางาน ค่อนข้างช้าและไมเหมาะกับการคานวณที่ซับซ้อน งานที่เหมาะกับการใช้ภาษาโคบอล คือ งานทางสถิติ การ บัญชี การทำโปรแกรมเงินเดือน เป็นต้น
ย่อมาจาก Beginner’s All–purpose Symbolic Instruction Code พัฒนาขึ้นในปี 1965 ที่วิทยาลัย Dartmouth โดย John Kenery และ Thomas Kurtz เป็นภาษาแรกที่ทำงานได้บนเครื่องพีซี ภาษานี้มีความ คล้ายคลึงกับภาษา FORTRAN ง่ายต่อการเรียนรู้ คำสั่งต่าง ๆ มีน้อย ทำให้เขียนโปรแกรมได้รวดเร็ว แก้ไขขอผิด พลาดได้ง่าย สามารถใช้งานได้อยางมีประสิทธิภาพ แต่เนื่องจากเป็นภาษาที่ไม่มีโครงสร้าง จึงไม่เหมาะกับงาน ขนาดใหญ่ จุดเด่นของภาษานี้คือ Operating System ของภาษานใช้เนื้อที่น้อย ภาษาเบสิกนี้ใช้ได้กับงาน คำนวณ งานทางด้านธุรกิจ หรือการออกรายงาน
ชื่อของภาษานี้ตั้งเป็นเกียรติแก่นักคณิตศาสต์รชาวฝรั่งเศส คือ Blaise Pascal ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการใช้ อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์ ภาษาปาสคาลคิดค้นโดย Niklaus Wirth แห่ง Swiss Federal Institute of Technology ในปีค.ศ. 1986 เพือใช้ในการเรียนการสอน เป็นภาษาที่มีโครงสร้างที่ดีมาก เหมาะสำหรับการเรียน เขียนโปรแกรมให้เป็นไปอยางมีระบบระเบียบ ใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เหมาะกับการนำมาประยุกต์ใช้ กับงานทั่ว ๆ ไป ทั้งทางด้านธุรกิจและงานด้านกราฟิก ภาษา Pascal เป็นภาษาทค่อนข้างจุกจิก มีข้อยกเว้นและ เครื่องหมายมาก ทำให้ลดความคล่องตัวในการใช้งาน
เป็นภาษาในรุ่นที่ 5 เหตุที่เรียกว่าภาษาธรรมชาติ เพราะสามารถสั่งงานคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้ภาษา มนุษย์ได้เลย คำสั่งที่มนุษย์พิมพ์เข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นภาษาพูด ซึ่งอาจมีรูปแบบไม่แน่นอนตายตัว แต่คอมพิวเตอร์ก็จะสามารถทำการแปลคำสั่งเหล่านั้น ให้ออกมาในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์เข้าใจได้ ถ้าคำถาม ใดไม่กระจ่าง ก็จะถามกลับ เพื่อให้ได้รายละเอียดยิ่งขึ้น ภาษาธรรมชาตินี้ถูกสร้างขึ้นมาจากเทคโนโลยทางด้านระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) เป็นงานที่ อยู่ในสาขาปัญญาประดิษฐ์ ในการทาให้คอมพิวเตอร์สามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างมนุษย์ ซึ่งในการนตอง นำข้อมูลข่าวสารมาจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มาประกอบกันเพื่อใช้ในการตัดสินใจในสาขานั้นๆ ร่วมถึงการ แสดงผลลัพธ์ถึงค่าความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น นั้นคือต้องอาศัยระบบฐานข้อมูล เพื่อเก็บข้อมูล จำนวนมหาศาล เรียกฐานข้อมูลของระบบผู้เชี่ยวชาญนี้ว่า ฐานความรู้ (Knowledge Base)
เป็นการเขียน โปรแกรมโดยยึดหลักการเขียนโปรแกรมแบบแยกเป็นหน่วยย่อย (Module) ตามหน้าที่ แล้ว รวบรวมหน่วยย่อยเหล่านนี้เข่าด้วยกันเป็นโครงสร้างสอดคล้องสัมพันธ์กัน เราเรียกขั้นนี้ว่า ขั้น Integration โครงสร้างที่ได้คือโปรแกรมที่ต้องการ ภาษาทใช้พัฒนาโปรแกรมในแนวนี้ จัดเป็นภาษาประเภททเรียกว่า Procedural Language การเขียนโปรแกรมแนวนี้ได้ถูกใช้มา นานตั้งแต่ยุคก่อนจนถึงยุคปัจจุบันก็ยังใช้อยู่ โดย เฉพาะโปรแกรมที่มีขนาดเล็ก
หลักการคือ จะมองงานแต่ละ อย่างเป็นวัตถุ (Object) เช่น กล่องโต้ตอบ (Dialog Box) รูปภาพหนึ่งเฟรม กล่องข้อความ (Text Box) หรือ ไอ คอนบนจอภาพ เป็นต้น โดยออบเจ็คหนึ่งจะทำงานเฉพาะตามที่กำหนดเสมือนเป็นชิ้นส่วน (Component) เป็น หน่วยอิสระ ถาผู้ใช้ต้องการใช้ที่ใดก็สามารถคัดลอกไปใช้ได้ตามที่ต้องการได้ทันที แนวทางการเขียนโปรแกรม เชิงวัตถุนี้จะเหมาะกับการเขียนโปรแกรมขนาดใหญ่ เพราะสามารถนำเอาชิ้นส่วนที่มีอยู่แล้วกลับมาใช้ใหม่จะ สร้าง ออบเจ็คใหม่เฉพาะชิ้นส่วน ที่ยังไม่มี ทำให้ประหยัดเวลา และลดแรงงานไปได้มาก สามารถพัฒนา โปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว และนอกจากนี้มันยังเป็นประโยชนสำหรับซอฟ์ตแวร์ ในอนาคตเพราะสามารถนำออบ เจ็คไปใช้ซ้ำ (Reuse) ลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาไปได้มาก และบำรุงรักษาง่ายและประหยัดกว่า
ภาษาคอมพิวเตอร์ (Computer Languages)เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่ง ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งสามารถ ที่จะประมวลผลงานได้หลาย ๆ คำสั่ง และรวดเร็วกว่ามนุษย์มาก การที่จะให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ก็จะต้องป้อนคำสั่งให้มัน และคำสั่ง นั้นจะต้องเป็นคำสั่งที่คอมพิวเตอร์เข้าใจด้วย ซึ่งคำสั่งเหล่านั้น เราเรียกว่า ภาษาโปรแกรม เมื่อ โปรแกรมถูกป้อนเขาไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องจะทำงานทีละคำสั่งภาษาที่คอมพิวเตอร์ เรียกว่า ภาษาเครื่อ ง (Machine Language) ซึ่งเป็น เลขฐานสองและจะถูกแปลงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้า
ประเภทของภาษาคอมพิวเตอร์ แบ่งได้ดังนี้
1. ภาษาในยุคที่ 1 (First Generation Language : 1GL)
คือ ภาษาเครื่อง (Machine Language) เป็นภาษาแรกเริ่มที่คอมพิวเตอร์รู้จักและเข้าใจ และสามารถสั่งการด้วยสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยเลขฐาน 2 คือ 0 และ 1
2. ภาษาในยุคที่ 2 (Second Generation Language : 2GL)
คือภาษา ที่พัฒนา ขึ้นมาโดยใช้สัญลักษณ์ก็คือ ตัวภาษาอังกฤษเพื่อให้โปรแกรมเมอร์เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นตัวอักษร 1 หรือเป็นกลุ่มอักษร ภาษาที่เกิดขึ้นในยุคนี้คือภาษา Assembly ที่ใช้อักษร A แทนการ Add เป็นต้นโดยคำสั่งที่ถูกเขียนขึ้นมาจะถูกแปลภาษาให้เป็นภาษาเครื่อง
ที่ชื่อว่า Assembler ที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้
3. ภาษาในยุคที่ 3 (Third Generation Language : 3GL) คือ ภาษาระดับสูง เนื่องจากมีการวิวัฒนาการจากภาษาอังกฤษที่นอกจากจะเขียนเป็นคำสั่งได้แล้ว ยังเขียนเป็นประโยค และใกล้เคียงกับ ภาษามนุษย์มากขึ้น และภาษาในยุคนี้ก็จะเป็นแบบ Procedural Language เนื่องจากต้องมีการระบุรายละเอียดของคำสั่งและการทำงานต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอนเป็นบรรทัด ๆ ไป และต้องมีตัวแปลภาษาเพื่อแปลคำสั่งจาก Source Code ให้เป็น Object Code ที่เครื่องสามารถเข้าใจได้ ตัวอย่างภาษาในยุคนี้ เช่น BASIC, PASCAL, FORTRAN, COBOL, C เป็นต้น
4. ภาษาในยุคที่ 4 (Fourth Generation Language : 4GL)คือ ภาษาในยุคนี้ เป็นภาษาระดับสูงเช่นเดียวกันและมีความโดดเด่นคือการใช้คำสั่งจะมีความคล้ายคลึงกับประโยคภาษาอังกฤษมากขึ้นและ สามารถนำมาใช้เขียนคำสั่งเพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ความสามารถด้านกราฟฟิก การติดต่อกับผู้ใช้ (GUI) และความสามารถในการสร้างโค้ด ตัวอย่างภาษาในยุคนี้ได้แก่ SQL (Structured Query Language),C#, Java, ซอฟต์แวร์ในตระกูล Visual ต่างๆ เช่น Visual Basic เป็นต้น
5. ภาษาในยุคที่ 5 (Fifth Generation Language : 5GL) เรียกได้ว่าเป็น ภาษา ธรรมชาติ (Natural Language) เนื่องจากมีความใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากที่สุด ภาษาในยุคนี้สามารถรองรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เช่น การทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถที่จะเข้าใจคำสั่งจากเสียงพูดและโต้ตอบได้
1. ภาษาในยุคที่ 1 (First Generation Language : 1GL)
คือ ภาษาเครื่อง (Machine Language) เป็นภาษาแรกเริ่มที่คอมพิวเตอร์รู้จักและเข้าใจ และสามารถสั่งการด้วยสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยเลขฐาน 2 คือ 0 และ 1
2. ภาษาในยุคที่ 2 (Second Generation Language : 2GL)
คือภาษา ที่พัฒนา ขึ้นมาโดยใช้สัญลักษณ์ก็คือ ตัวภาษาอังกฤษเพื่อให้โปรแกรมเมอร์เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นตัวอักษร 1 หรือเป็นกลุ่มอักษร ภาษาที่เกิดขึ้นในยุคนี้คือภาษา Assembly ที่ใช้อักษร A แทนการ Add เป็นต้นโดยคำสั่งที่ถูกเขียนขึ้นมาจะถูกแปลภาษาให้เป็นภาษาเครื่อง
ที่ชื่อว่า Assembler ที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้
3. ภาษาในยุคที่ 3 (Third Generation Language : 3GL) คือ ภาษาระดับสูง เนื่องจากมีการวิวัฒนาการจากภาษาอังกฤษที่นอกจากจะเขียนเป็นคำสั่งได้แล้ว ยังเขียนเป็นประโยค และใกล้เคียงกับ ภาษามนุษย์มากขึ้น และภาษาในยุคนี้ก็จะเป็นแบบ Procedural Language เนื่องจากต้องมีการระบุรายละเอียดของคำสั่งและการทำงานต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอนเป็นบรรทัด ๆ ไป และต้องมีตัวแปลภาษาเพื่อแปลคำสั่งจาก Source Code ให้เป็น Object Code ที่เครื่องสามารถเข้าใจได้ ตัวอย่างภาษาในยุคนี้ เช่น BASIC, PASCAL, FORTRAN, COBOL, C เป็นต้น
4. ภาษาในยุคที่ 4 (Fourth Generation Language : 4GL)คือ ภาษาในยุคนี้ เป็นภาษาระดับสูงเช่นเดียวกันและมีความโดดเด่นคือการใช้คำสั่งจะมีความคล้ายคลึงกับประโยคภาษาอังกฤษมากขึ้นและ สามารถนำมาใช้เขียนคำสั่งเพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ความสามารถด้านกราฟฟิก การติดต่อกับผู้ใช้ (GUI) และความสามารถในการสร้างโค้ด ตัวอย่างภาษาในยุคนี้ได้แก่ SQL (Structured Query Language),C#, Java, ซอฟต์แวร์ในตระกูล Visual ต่างๆ เช่น Visual Basic เป็นต้น
5. ภาษาในยุคที่ 5 (Fifth Generation Language : 5GL) เรียกได้ว่าเป็น ภาษา ธรรมชาติ (Natural Language) เนื่องจากมีความใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากที่สุด ภาษาในยุคนี้สามารถรองรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เช่น การทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถที่จะเข้าใจคำสั่งจากเสียงพูดและโต้ตอบได้

สำหรับงาน โปรแกรมเมอร์ งานตำแหน่งนี้ยังมีอัตราความต้องการจ้างงานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะขยายตัวสูงขึ้น 8% ต่อเนื่องไปอีก 7 ปี (อ้างอิงจาก U.S. Bureau of Labor Statistics) แถมงานตำแหน่งนี้ยังมีรายได้ที่สูงมากเสียด้วย
เรามีข้อมูลภาษาคอมพิวเตอร์ที่ตลาดมีความต้องการสูงในปีนี้จัดอันดับมา 15 ภาษา เเละอันดับนี้เป็นการประเมินจาก Doug Winnie ผู้อำนวยการแห่ง Lynda เว็บเรียนรู้การเขียนโปรแกรมแบบออนไลน์ขนาดใหญ่ระดับสากล จะมีภาษาอะไรบ้าง มาดูกัน
1. Java
Java (จาวา) เป็นหนึ่งในภาษาอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมในการสร้า Backend สำหรับเว็บแอพฯที่ต้องการความทันสมัยในการแสดงผล ด้วย Java และ Frameworks ที่มีให้ใช้ นักพัฒนาสามารถสร้างเว็บที่ปรับขนาดการแสดงผลให้เหมาะสมกับผู้ใช้ได้ทุกรูปแบบการเข้าชม ปัจจุบัน Java มักใช้พัฒนาแอพฯแอนดรอยส์สำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
2. JavaScript
ปัจจุบันเกือบทุกเว็บไซต์มีการใช้งาน JavaScript หากเราต้องการสร้างเว็บที่สามารถตอบโต้กับผู้ใช้งานได้ มี User interfaces ที่สวยงาม JavaScript frameworks คือ สิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ
3. C#
C# เป็นภาษาหลักในการพัฒนาโปรแกรมบนระบปฏิบัติการของ Microsoft เมื่อเราสร้างสร้างเว็บแอพพลิเคชั่น ด้วย Arure และ .NET สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ C# เป็นภาษาที่รวดเร็วที่สุดในการเขียนโปรแกรมควบคุมทรัพยากรที่ไมโครซอฟท์มีให้ใช้ หรือแม้แต่ภาษาเกมคอมพิวเตอร์ยอดนิยมอย่าง Unity Engine ก็ใช้ C# เป็นภาษาหลักในการทำงานด้วยเช่นกัน
4. PHP
ถ้าต้องการสร้างเว็บที่มีการใช้งานฐานข้อมูล PHP เป็นภาษาที่ทำงานร่วมกับ MySQL ในปัจจุบัน PHP เป็นภาษาที่นิยมอย่างมากในเว็บที่มีการจัดเก็บข้อมูลเนื้อหาบนเว็บไซต์ ตัวอย่างเว็บยอดนิยมประเภทนี้ก็อย่างเช่น WordPress นั่นเอง
5. C++
ภาษา C++ ต่อยอดมาจากภาษา C ออกแบบให้ทำงานง่ายขึ้นมีความเป็น Object มากกว่าเดิม จุดเด่น คือ การทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ การเขียนโปรแกรมจำพวกจัดการหน่วยความจำ หรือเร่งประสิทธิภาพกราฟฟิค ต้องใช้ C++ ในการเขียน
6. Python
Python เป็นภาษาที่สามารถทำได้ทุกอย่างตั้งแต่ เว็บแอพพลิเคชั่น, User interfaces, Data analysis, Statistics และหากมีปัญหาอะไรก็ตาม มันมี Framework สำหรับแก้ไขปัญหาให้ใช้มากมาย Python นิยมใช้ในงานด้านวิทยาศาสตร์หรืออตสาหกรรมที่มีปริมาณข้อมูลขนาดใหญ่มาก
7. C
แม้ว่าจะเก่าแก่แล้ว แต่ภาษา C ยังคงได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย เนื่องจากใช้ทรัพยากรเครื่องน้อย ทำงานได้รวดเร็ว และความสามารถครบถ้วน ถ้าต้องการเขียนซอฟแวร์ที่ทำงานร่วมกับไฟล์ระดับ Kernels หรือเขียนโปรแกรมที่รีดทรัพยากรออกมาได้ทุกหยดแล้วล่ะก็ต้อง ภาษา C เท่านั้น
8. SQL
ข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกวัน SQL มีความสามารถในการค้นหาข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการได้อย่างรวดเร็ว สามารถค้นข้อมูลซ้ำๆ ได้อย่างแม่นยำ ด้วย SQL การระบุตำแหน่งของข้อมูลที่ต้องการในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องยาก
9. RUBY
ถ้าต้องการสร้างโปรเจคส์ภายในเวลาจำกัด หรือสร้างตัวโปรแกรมเวอร์ชั่นทดสอบออกมาลองใช้งาน Ruby เป็นภาษาที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้ เนื่องจากใช้งานง่าย และไม่ซับซ้อน แต่ไม่ใช่ว่างานใหญ่จะใช้ RUBY ไม่ได้นะ Twitter เว็บนี้ก็เขียนด้วย RUBY นะเอ้อ แต่ด้านความเร็ว PYTHON ทำงานรวดเร็วกกว่า แต่แลกมาด้วยความซับซ้อนในการเขียนที่ยากกว่า
10. Objective-C
ถ้าสนใจที่จะเขียนแอพฯ iOS คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษานี้ แม้ว่าปลายปีที่แล้วทาง Apple จะเปิดตัวภาษาใหม่ "Swift" แต่ Objective-C ก็ยังไมีการใช้งานกันอยู่อย่างแพร่หลาย โดยทำงานร่วมกับ XCode ชุดพัฒนาซอฟท์แวร์ของ Apple ปัจจุบันตลาดแอพฯเป็นที่สนใจของผู้ลงทุน ดังนั้นใครเขียนเป็นหางานไม่ยากแน่นอน
11. Perl
เป็นภาษาที่ทรงพลังและอยู่คู่กับเว็บไซต์มาตั้งแต่จุดเริ่มต้น และเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านไอที มีความปลอดภัยในการทำงานสูง
12. .NET
ตัวมันเองไม่ใช่ภาษาสำหรับเขียนโปรแกรม แต่ก็เป็นกุญแจสำคัญจากไมโครซอฟท์สำหรับทำงานกับ Cloud, Service และ การพัฒนาแอพ และด้วยความที่มันเป็น Open-Source มันกำลังเข้ามามีบทบาทบนแพลตฟอร์มของ Googel และ Apple ทำให้ตัว .NET จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแอพที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม
13. Visual Basic
ภาษาสำคัญที่ประสบความสำเร็จในวงการธุรกิจ เป็นหนึ่งในภาษาหลักของ .NET สามารถสร้างแอพพลิเคชั่นขึ้นมารองรับภาคธุรกิจ และสร้างเอกสารอัตโนมัติอย่าง Excel ได้อัตโนมัติ ทำให้งานต่างๆ ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
14. R
R เป็นภาษาที่ทรงพลังและปฏิวัติข้อมูลครั้งใหญ่ เป็นภาษาที่นักพัฒนาจำเป็นต้องรู้จักในปี 2015 หากต้องการทำ Data analysis ทั้งจากด้านวิทยาศาสตร์, ธุรกิจ, บันเทิง และ Social Media
15. Swift
เป็นภาษาใหม่ที่มีอายุไม่ถึงปีด้วยซ้ำ Swift สร้างขึ้นโดยบริษัท Apple และเป็นจับตาของนักพัฒนาทันที เนื่องจากถูกออกแบบมาให้ทำงานได้รวดเร็ว และง่ายดาย ทำให้การพัฒนาแอพฯสำหรับ Mac และ iOS มีความง่ายขึ้น
จะเห็นได้ว่า ภาษาทางคอมพิวเตอร์นั้นมีมากมายหลายรูปแบบจริงๆและข้อความข้างต้นนั่นก็คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ ที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อควบคุมและสั่งงานให้เครื่องทำงานตามคำสั่งเพื่อให้ผลลัพธ์ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ซึ่งในปัจจุบัน ภาษาคอมพิวเตอร์ได้มีผู้พัฒนาออกมาหลากหลายภาษา ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องทำความเข้าใจถึงหลักการเขียนรูปแบบโครงสร้างคำสั่งขอภาษานั้นๆ เป็นอีกภาษาที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
http://www4.csc.ku.ac.th/~b5340201660/7.html
http://news.thaiware.com/5543.html
http://www4.csc.ku.ac.th/~b5340204758/lean7.html
https://www.google.co.th/wiki.html