วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (c+,Java, Visual )

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์


           ในบทความเกี่ยวกับเรื่องภาษาคอมพิวเตอร์นี้ เราจะกล่าวถึงภาษาที่หลากหลายรูปแบบ และหลักเกณฑ์ต่างๆที่ช่วยให้มีความเข้าใจ ในคอมพิวเตอมากยิ่งขึ้น
          ภาษาที่ใช้กันในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน ตามความต้องการ โดยภาษาที่เครื่องจะเข้าใจเรียกวา ภาษาเครื่อง (Machine Language) จะต้องอยู่ในรูปของ เลขฐานสองที่นำมาแทนสัญลกษณ์ต่าง ๆ อาจจะเป็นตัวอักษรหรือตัวเลขก็ได้ ภาษาทเครื่องเข้าใจนมนุษย์เข้าใจยาก จะต้องรู้เรื่องของฮาร์ดแวร์จึงได้มีการพัฒนาเป็นภาษาที่มนุษย์เข้าใจ เรียกว่า ภาษามนุษย์ (Human Oriented Language) ซึ่งภาษาเหล่านี้จะต้องถูกแปลให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่องก่อน


วัฒนาการของภาษาคอมพิวเตอร์
     
ภาษาคอมพิวเตอร์กมการพัฒนาหรือวิวัฒนาการมาโดยลำดับเช่นเดียวกบคอมพิวเตอร์ 
โดยสามารถ แบ่งเป็นรุนของภาษา (Generation) ได้ดังต่อไปนี้ 

     ภาษาเครื่อง (Machine Language) 

     ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) 

     ภาษาระดับสง (High-level Language) 

     ภาษาระดับสูงมาก (Very High-level Language) 

     ภาษาธรรมชาติ (Natural Language) 


ภาษาเครื่อง (Machine Language)

   หรือ ภาษารุ่นที่ 1 เป็นภาษาหรือคำสั่งที่ใช้ในการสั่งงานหรือติดต่อกับเครื่องได้โดยตรง เครื่อง คอมพิวเตอร์ทุกชนิด ทุกขนาด จะทางานใด ๆ ได้ด้วยภาษาเคื่รองนี้ ลักษณะสำคญของภาษาเครื่องคือ เขียนอยู่ ในรหัสของเลขฐานสอง ซึ่งความจริงคือลักษณะของสัญญาณทางไฟฟ้า เพื่อสะดวกในการเขียนโปรแกรมจึงได้ แปลงลักษณะสัญญาณไฟฟ้าให้ตรงกับรหัสของเลขฐานสอง มีสัญลักษณ 2 ตัวคือ 0 กับ 1
   - Op Code (Operation Code) คือ รหัสคำสั่งที่บอกให้เครื่องทำงาน เช่น ให้หยึดทางานหรือทำการ บวก ลบ คูณ หาร
   - Operand คือ ส่วนที่เก็บตำแหน่งของข้อมูล เป็นส่วนที่บอกให้ทราบว่าจะนำข้อมูลส่วนใดมา ทำงาน และนำผลลัพธ์ไปเก็บที่ไหน


ภาษาระดับสูง (High-level Language)

   เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ภาษารุ่นที่ 3 เป็นภาษาที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อความสะดวกและคล่องตัวขึ้นในการ ใช้งาน ภาษาระดับสูงนี้เป็นภาษาที่มีรูปแบบและความหมายใกล้เคียงกับภาษามนุษย์ที่ใช้น้อยในปัจจุบัน นัก โปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมเป็นคำสั่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกับงาน เพราะคำสังที่ใช้ถูกจำกัดใหม่ความ หมายแน่นอนลงไป สะดวกแก่การเข้าใจ นอกจากนี้โปรแกรมอาจจะไม่จำเป็นต้องเข้าใจระบบการทำงานภาย ในเครื่องมาก เพราะการเขียนโปรแกรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะการทำงานภายในเครื่อง


ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN)
    ย่อมาจาก FORmula TRANslator เป็นภาษาชั้นสูงภาษาแรกที่มีการใช้แพร่หลาย พัฒนาขึ้นในกลางปี ค.ศ. 1950 โดย JIM BACKUS ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมของ IBM เหมาะสมกับงานทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิศวกรรม ซึ่งมีการคำวณที่ยุ่งยากซับซ้อน ลักษณะของภาษาทคล้ายคลึงกับสูตร หรือสมการทาง คณิตศาสตร์และภาษานี้ยังได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็น FORTRAN 77 ซึ่งประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ไม่เหมาะสมกับงาน ทางการพิมพ์ หรืองานที่ต้องการเก็บข้อมูลเป็นไฟล์ (File) 



ภาษาโคบอล (COBOL)

    ย่อมาจาก COmmon Business-Oriented Language เดิมภาษานี้เรียกว่า CODASYL (COnference DAta SYstems Language) ได้มีการพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1960 โดยกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา เป็น ภาษาที่นิยมใช้สำหรับงานทางด้านธุรกิจ สามารถใช้งานได้ทั้งบนเครื่องพีซี มินิคอมพิวเตอร์ และเมนเฟรม นอก จากนภาษาโคบอลยังเหมาะกับงานด้านการจัดการไฟล์ของข้อมูล งานที่มีข้อมูลมาก ๆ เพราะมีคำสั่ง ต่างๆ ที่ ใช้กับไฟล์มาก และสามารถใช้กับงานที่ต้องการออกรายงาน (Report) ที่ต้องการความสวยงามได้ คำสั่งต่างๆ ในภาษา COBOL มีลักษณะคล้ายกับภาษาอังกฤษ เข้าในง่าย มีกฎเกณฑในการเขียนที่ละเอียด แต่การทางาน ค่อนข้างช้าและไมเหมาะกับการคานวณที่ซับซ้อน งานที่เหมาะกับการใช้ภาษาโคบอล คือ งานทางสถิติ การ บัญชี การทำโปรแกรมเงินเดือน เป็นต้น 

ภาษาเบสิก (BASIC)

    ย่อมาจาก Beginner’s All–purpose Symbolic Instruction Code พัฒนาขึ้นในปี 1965 ที่วิทยาลัย Dartmouth โดย John Kenery และ Thomas Kurtz เป็นภาษาแรกที่ทำงานได้บนเครื่องพีซี ภาษานี้มีความ คล้ายคลึงกับภาษา FORTRAN ง่ายต่อการเรียนรู้ คำสั่งต่าง ๆ มีน้อย ทำให้เขียนโปรแกรมได้รวดเร็ว แก้ไขขอผิด พลาดได้ง่าย สามารถใช้งานได้อยางมีประสิทธิภาพ แต่เนื่องจากเป็นภาษาที่ไม่มีโครงสร้าง จึงไม่เหมาะกับงาน ขนาดใหญ่ จุดเด่นของภาษานี้คือ Operating System ของภาษานใช้เนื้อที่น้อย ภาษาเบสิกนี้ใช้ได้กับงาน คำนวณ งานทางด้านธุรกิจ หรือการออกรายงาน 

ภาษาปาสคาล (PASCAL)

    ชื่อของภาษานี้ตั้งเป็นเกียรติแก่นักคณิตศาสต์รชาวฝรั่งเศส คือ Blaise Pascal ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการใช้ อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์ ภาษาปาสคาลคิดค้นโดย Niklaus Wirth แห่ง Swiss Federal Institute of Technology ในปีค.ศ. 1986 เพือใช้ในการเรียนการสอน เป็นภาษาที่มีโครงสร้างที่ดีมาก เหมาะสำหรับการเรียน เขียนโปรแกรมให้เป็นไปอยางมีระบบระเบียบ ใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เหมาะกับการนำมาประยุกต์ใช้ กับงานทั่ว ๆ ไป ทั้งทางด้านธุรกิจและงานด้านกราฟิก ภาษา Pascal เป็นภาษาทค่อนข้างจุกจิก มีข้อยกเว้นและ เครื่องหมายมาก ทำให้ลดความคล่องตัวในการใช้งาน 


ภาษาธรรมชาติ (Natural Language)

    เป็นภาษาในรุ่นที่ 5 เหตุที่เรียกว่าภาษาธรรมชาติ เพราะสามารถสั่งงานคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้ภาษา มนุษย์ได้เลย คำสั่งที่มนุษย์พิมพ์เข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นภาษาพูด ซึ่งอาจมีรูปแบบไม่แน่นอนตายตัว แต่คอมพิวเตอร์ก็จะสามารถทำการแปลคำสั่งเหล่านั้น ให้ออกมาในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์เข้าใจได้ ถ้าคำถาม ใดไม่กระจ่าง ก็จะถามกลับ เพื่อให้ได้รายละเอียดยิ่งขึ้น ภาษาธรรมชาตินี้ถูกสร้างขึ้นมาจากเทคโนโลยทางด้านระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) เป็นงานที่ อยู่ในสาขาปัญญาประดิษฐ์ ในการทาให้คอมพิวเตอร์สามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างมนุษย์ ซึ่งในการนตอง นำข้อมูลข่าวสารมาจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มาประกอบกันเพื่อใช้ในการตัดสินใจในสาขานั้นๆ ร่วมถึงการ แสดงผลลัพธ์ถึงค่าความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น นั้นคือต้องอาศัยระบบฐานข้อมูล เพื่อเก็บข้อมูล จำนวนมหาศาล เรียกฐานข้อมูลของระบบผู้เชี่ยวชาญนี้ว่า ฐานความรู้ (Knowledge Base) 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ computer language

1.การเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้าง (Structured Paradigm หรือ Function Oriented Paradigm)


     เป็นการเขียน โปรแกรมโดยยึดหลักการเขียนโปรแกรมแบบแยกเป็นหน่วยย่อย (Module) ตามหน้าที่ แล้ว รวบรวมหน่วยย่อยเหล่านนี้เข่าด้วยกันเป็นโครงสร้างสอดคล้องสัมพันธ์กัน เราเรียกขั้นนี้ว่า ขั้น Integration โครงสร้างที่ได้คือโปรแกรมที่ต้องการ ภาษาทใช้พัฒนาโปรแกรมในแนวนี้ จัดเป็นภาษาประเภททเรียกว่า Procedural Language การเขียนโปรแกรมแนวนี้ได้ถูกใช้มา นานตั้งแต่ยุคก่อนจนถึงยุคปัจจุบันก็ยังใช้อยู่ โดย เฉพาะโปรแกรมที่มีขนาดเล็ก

2. การเขียนโปรแกรมเชีงวัตถุ (Object Oriented Paradigm)

    หลักการคือ จะมองงานแต่ละ อย่างเป็นวัตถุ (Object) เช่น กล่องโต้ตอบ (Dialog Box) รูปภาพหนึ่งเฟรม กล่องข้อความ (Text Box) หรือ ไอ คอนบนจอภาพ เป็นต้น โดยออบเจ็คหนึ่งจะทำงานเฉพาะตามที่กำหนดเสมือนเป็นชิ้นส่วน (Component) เป็น หน่วยอิสระ ถาผู้ใช้ต้องการใช้ที่ใดก็สามารถคัดลอกไปใช้ได้ตามที่ต้องการได้ทันที แนวทางการเขียนโปรแกรม เชิงวัตถุนี้จะเหมาะกับการเขียนโปรแกรมขนาดใหญ่ เพราะสามารถนำเอาชิ้นส่วนที่มีอยู่แล้วกลับมาใช้ใหม่จะ สร้าง ออบเจ็คใหม่เฉพาะชิ้นส่วน ที่ยังไม่มี ทำให้ประหยัดเวลา และลดแรงงานไปได้มาก สามารถพัฒนา โปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว และนอกจากนี้มันยังเป็นประโยชนสำหรับซอฟ์ตแวร์ ในอนาคตเพราะสามารถนำออบ เจ็คไปใช้ซ้ำ (Reuse) ลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาไปได้มาก และบำรุงรักษาง่ายและประหยัดกว่า
   ภาษาคอมพิวเตอร์ (Computer Languages)เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่ง ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งสามารถ ที่จะประมวลผลงานได้หลาย ๆ คำสั่ง และรวดเร็วกว่ามนุษย์มาก การที่จะให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ก็จะต้องป้อนคำสั่งให้มัน และคำสั่ง นั้นจะต้องเป็นคำสั่งที่คอมพิวเตอร์เข้าใจด้วย ซึ่งคำสั่งเหล่านั้น เราเรียกว่า ภาษาโปรแกรม เมื่อ โปรแกรมถูกป้อนเขาไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องจะทำงานทีละคำสั่งภาษาที่คอมพิวเตอร์ เรียกว่า ภาษาเครื่อ ง (Machine Language) ซึ่งเป็น เลขฐานสองและจะถูกแปลงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้า
ประเภทของภาษาคอมพิวเตอร์ แบ่งได้ดังนี้
1. ภาษาในยุคที่ 1 (First Generation Language : 1GL) 
คือ ภาษาเครื่อง (Machine Language) เป็นภาษาแรกเริ่มที่คอมพิวเตอร์รู้จักและเข้าใจ และสามารถสั่งการด้วยสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยเลขฐาน 2 คือ 0 และ 1

2. ภาษาในยุคที่ 2 (Second Generation Language : 2GL) 

คือภาษา ที่พัฒนา ขึ้นมาโดยใช้สัญลักษณ์ก็คือ ตัวภาษาอังกฤษเพื่อให้โปรแกรมเมอร์เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นตัวอักษร 1 หรือเป็นกลุ่มอักษร ภาษาที่เกิดขึ้นในยุคนี้คือภาษา Assembly ที่ใช้อักษร A แทนการ Add เป็นต้นโดยคำสั่งที่ถูกเขียนขึ้นมาจะถูกแปลภาษาให้เป็นภาษาเครื่อง
ที่ชื่อว่า Assembler ที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้

3. ภาษาในยุคที่ 3 (Third Generation Language : 3GL) คือ ภาษาระดับสูง เนื่องจากมีการวิวัฒนาการจากภาษาอังกฤษที่นอกจากจะเขียนเป็นคำสั่งได้แล้ว ยังเขียนเป็นประโยค และใกล้เคียงกับ ภาษามนุษย์มากขึ้น และภาษาในยุคนี้ก็จะเป็นแบบ Procedural Language  เนื่องจากต้องมีการระบุรายละเอียดของคำสั่งและการทำงานต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอนเป็นบรรทัด ๆ ไป และต้องมีตัวแปลภาษาเพื่อแปลคำสั่งจาก Source Code ให้เป็น Object Code ที่เครื่องสามารถเข้าใจได้ ตัวอย่างภาษาในยุคนี้ เช่น BASIC, PASCAL, FORTRAN, COBOL, C เป็นต้น


4. ภาษาในยุคที่ 4 (Fourth Generation Language : 4GL)คือ ภาษาในยุคนี้ เป็นภาษาระดับสูงเช่นเดียวกันและมีความโดดเด่นคือการใช้คำสั่งจะมีความคล้ายคลึงกับประโยคภาษาอังกฤษมากขึ้นและ สามารถนำมาใช้เขียนคำสั่งเพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ความสามารถด้านกราฟฟิก การติดต่อกับผู้ใช้ (GUI) และความสามารถในการสร้างโค้ด ตัวอย่างภาษาในยุคนี้ได้แก่ SQL (Structured Query Language),C#, Java, ซอฟต์แวร์ในตระกูล Visual ต่างๆ เช่น Visual Basic เป็นต้น


5. ภาษาในยุคที่ 5 (Fifth Generation Language : 5GL) เรียกได้ว่าเป็น ภาษา ธรรมชาติ (Natural Language) เนื่องจากมีความใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากที่สุด ภาษาในยุคนี้สามารถรองรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เช่น การทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถที่จะเข้าใจคำสั่งจากเสียงพูดและโต้ตอบได้



      
               สำหรับงาน โปรแกรมเมอร์ งานตำแหน่งนี้ยังมีอัตราความต้องการจ้างงานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะขยายตัวสูงขึ้น 8% ต่อเนื่องไปอีก 7 ปี (อ้างอิงจาก U.S. Bureau of Labor Statistics) แถมงานตำแหน่งนี้ยังมีรายได้ที่สูงมากเสียด้วย
              เรามีข้อมูลภาษาคอมพิวเตอร์ที่ตลาดมีความต้องการสูงในปีนี้จัดอันดับมา 15 ภาษา เเละอันดับนี้เป็นการประเมินจาก Doug Winnie ผู้อำนวยการแห่ง Lynda เว็บเรียนรู้การเขียนโปรแกรมแบบออนไลน์ขนาดใหญ่ระดับสากล จะมีภาษาอะไรบ้าง มาดูกัน


1. Java

Java (จาวา) เป็นหนึ่งในภาษาอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมในการสร้า Backend สำหรับเว็บแอพฯที่ต้องการความทันสมัยในการแสดงผล ด้วย Java และ Frameworks ที่มีให้ใช้ นักพัฒนาสามารถสร้างเว็บที่ปรับขนาดการแสดงผลให้เหมาะสมกับผู้ใช้ได้ทุกรูปแบบการเข้าชม ปัจจุบัน Java มักใช้พัฒนาแอพฯแอนดรอยส์สำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต

2. JavaScript

ปัจจุบันเกือบทุกเว็บไซต์มีการใช้งาน JavaScript หากเราต้องการสร้างเว็บที่สามารถตอบโต้กับผู้ใช้งานได้ มี User interfaces ที่สวยงาม JavaScript frameworks คือ สิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ

3. C#

C# เป็นภาษาหลักในการพัฒนาโปรแกรมบนระบปฏิบัติการของ Microsoft เมื่อเราสร้างสร้างเว็บแอพพลิเคชั่น ด้วย Arure และ .NET สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ C# เป็นภาษาที่รวดเร็วที่สุดในการเขียนโปรแกรมควบคุมทรัพยากรที่ไมโครซอฟท์มีให้ใช้ หรือแม้แต่ภาษาเกมคอมพิวเตอร์ยอดนิยมอย่าง Unity Engine ก็ใช้ C# เป็นภาษาหลักในการทำงานด้วยเช่นกัน

4. PHP

ถ้าต้องการสร้างเว็บที่มีการใช้งานฐานข้อมูล PHP เป็นภาษาที่ทำงานร่วมกับ MySQL ในปัจจุบัน PHP เป็นภาษาที่นิยมอย่างมากในเว็บที่มีการจัดเก็บข้อมูลเนื้อหาบนเว็บไซต์ ตัวอย่างเว็บยอดนิยมประเภทนี้ก็อย่างเช่น WordPress นั่นเอง

5. C++

ภาษา C++ ต่อยอดมาจากภาษา C ออกแบบให้ทำงานง่ายขึ้นมีความเป็น Object มากกว่าเดิม จุดเด่น คือ การทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ การเขียนโปรแกรมจำพวกจัดการหน่วยความจำ หรือเร่งประสิทธิภาพกราฟฟิค ต้องใช้ C++ ในการเขียน

6. Python

Python เป็นภาษาที่สามารถทำได้ทุกอย่างตั้งแต่ เว็บแอพพลิเคชั่น, User interfaces, Data analysis, Statistics และหากมีปัญหาอะไรก็ตาม มันมี Framework สำหรับแก้ไขปัญหาให้ใช้มากมาย Python นิยมใช้ในงานด้านวิทยาศาสตร์หรืออตสาหกรรมที่มีปริมาณข้อมูลขนาดใหญ่มาก

7. C

แม้ว่าจะเก่าแก่แล้ว แต่ภาษา C ยังคงได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย เนื่องจากใช้ทรัพยากรเครื่องน้อย ทำงานได้รวดเร็ว และความสามารถครบถ้วน ถ้าต้องการเขียนซอฟแวร์ที่ทำงานร่วมกับไฟล์ระดับ Kernels หรือเขียนโปรแกรมที่รีดทรัพยากรออกมาได้ทุกหยดแล้วล่ะก็ต้อง ภาษา C เท่านั้น

8. SQL

ข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกวัน SQL มีความสามารถในการค้นหาข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการได้อย่างรวดเร็ว สามารถค้นข้อมูลซ้ำๆ ได้อย่างแม่นยำ ด้วย SQL การระบุตำแหน่งของข้อมูลที่ต้องการในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องยาก

9. RUBY

ถ้าต้องการสร้างโปรเจคส์ภายในเวลาจำกัด หรือสร้างตัวโปรแกรมเวอร์ชั่นทดสอบออกมาลองใช้งาน Ruby เป็นภาษาที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้ เนื่องจากใช้งานง่าย และไม่ซับซ้อน แต่ไม่ใช่ว่างานใหญ่จะใช้ RUBY ไม่ได้นะ Twitter เว็บนี้ก็เขียนด้วย RUBY นะเอ้อ แต่ด้านความเร็ว PYTHON ทำงานรวดเร็วกกว่า แต่แลกมาด้วยความซับซ้อนในการเขียนที่ยากกว่า

10. Objective-C

ถ้าสนใจที่จะเขียนแอพฯ iOS คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษานี้ แม้ว่าปลายปีที่แล้วทาง Apple จะเปิดตัวภาษาใหม่ "Swift" แต่ Objective-C ก็ยังไมีการใช้งานกันอยู่อย่างแพร่หลาย โดยทำงานร่วมกับ XCode ชุดพัฒนาซอฟท์แวร์ของ Apple ปัจจุบันตลาดแอพฯเป็นที่สนใจของผู้ลงทุน ดังนั้นใครเขียนเป็นหางานไม่ยากแน่นอน

11. Perl

เป็นภาษาที่ทรงพลังและอยู่คู่กับเว็บไซต์มาตั้งแต่จุดเริ่มต้น และเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านไอที มีความปลอดภัยในการทำงานสูง

12. .NET

ตัวมันเองไม่ใช่ภาษาสำหรับเขียนโปรแกรม แต่ก็เป็นกุญแจสำคัญจากไมโครซอฟท์สำหรับทำงานกับ Cloud, Service และ การพัฒนาแอพ และด้วยความที่มันเป็น Open-Source มันกำลังเข้ามามีบทบาทบนแพลตฟอร์มของ Googel และ Apple ทำให้ตัว .NET จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแอพที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม

13. Visual Basic

ภาษาสำคัญที่ประสบความสำเร็จในวงการธุรกิจ เป็นหนึ่งในภาษาหลักของ .NET สามารถสร้างแอพพลิเคชั่นขึ้นมารองรับภาคธุรกิจ และสร้างเอกสารอัตโนมัติอย่าง Excel ได้อัตโนมัติ ทำให้งานต่างๆ ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

14. R

R เป็นภาษาที่ทรงพลังและปฏิวัติข้อมูลครั้งใหญ่ เป็นภาษาที่นักพัฒนาจำเป็นต้องรู้จักในปี 2015 หากต้องการทำ Data analysis ทั้งจากด้านวิทยาศาสตร์, ธุรกิจ, บันเทิง และ Social Media 

15. Swift 

เป็นภาษาใหม่ที่มีอายุไม่ถึงปีด้วยซ้ำ Swift สร้างขึ้นโดยบริษัท Apple และเป็นจับตาของนักพัฒนาทันที เนื่องจากถูกออกแบบมาให้ทำงานได้รวดเร็ว และง่ายดาย ทำให้การพัฒนาแอพฯสำหรับ Mac และ iOS มีความง่ายขึ้น




       จะเห็นได้ว่า ภาษาทางคอมพิวเตอร์นั้นมีมากมายหลายรูปแบบจริงๆและข้อความข้างต้นนั่นก็คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ ที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อควบคุมและสั่งงานให้เครื่องทำงานตามคำสั่งเพื่อให้ผลลัพธ์ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ซึ่งในปัจจุบัน ภาษาคอมพิวเตอร์ได้มีผู้พัฒนาออกมาหลากหลายภาษา ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องทำความเข้าใจถึงหลักการเขียนรูปแบบโครงสร้างคำสั่งขอภาษานั้นๆ เป็นอีกภาษาที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

อ้างอิง

 http://www4.csc.ku.ac.th/~b5340201660/7.html

http://news.thaiware.com/5543.html

http://www4.csc.ku.ac.th/~b5340204758/lean7.html

https://www.google.co.th/wiki.html



วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Social Network



Social Network


Social Network หมายถึงการที่มนุษย์สามารถเชื่อมโยงถึงกัน ทำความรู้จักกัน สื่อสารถึงกันได้ ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งหากเป็นเว็บไซต์ที่เรียกว่าเป็นเว็บ (Social Network) ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันนั่นเอง โดยเว็บไซต์เหล่านี้จะมีพื้นที่ให้ผู้คนเข้ามารู้จักกัน มีการให้พื้นที่ บริการเครื่องมือต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการสร้างเครือข่าย สร้างเนื้อหาตามความสนใจของผู้ใช้ ปัจจุบันมีเว็บไซต์ประเภท (Social Network) เกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งที่มีเป้าหมายเชิงพาณิชย์ และไม่แสวงหากำไร

เมื่อไม่อาจปฏิเสธเทคโนโลยีโซเชียลเน็ตเวิร์กในโลกออนไลน์ ที่เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมากได้ ผู้ใช้สื่อควรทำอย่างไรให้การใช้เทคโนโลยี ซึ่งจะเข้ามาแทนที่การปฏิสัมพันธ์กันในชีวิตจริงเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
       

Social Network คืออะไร



โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์  หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย  ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น (บางเว็บไซต์ที่กล่าวถึงในตัวอย่าง ปัจจุบันนี้ได้เสื่อมความนิยมแล้ว)  การเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้  เป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อย  ทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมา  สามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ได้ง่าย  และเมื่อเราแชร์ (Share) ข้อความหรืออะไรก็ตามลงไปในเครือข่าย  ทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน  และสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เราแชร์ได้  เช่น  แสดงความคิดเห็น (Comment)  กดไลค์ (Like) ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการ  ความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ทำให้ธุรกิจ และนักการตลาดสนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการ

โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) มีกี่ประเภท อะไรบ้าง


การจัดประเภทของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) นั้นสามารถแยกได้ตามรูปแบบ และวัตถุประสงค์ในการใช้งาน

โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ตามรูปแบบ แบ่งได้เป็น

1. Blog หรือ บล็อก คือเว็บไซต์รูปแบบหนึ่ง มาจากคำว่า Weblog (Website + Log) ซึ่งคำว่า Log ในที่นี้หมายถึง “ปูม” ดังนั้น Blog จึงมีลักษณะเป็นเว็บไซต์ที่จัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีเดียวกับปูม  มีการเรียงลำดับตามวันที่บันทึก  ข้อมูลใหม่ที่ Post จะอยู่บนสุด  ส่วนข้อมูลเก่าจะอยู่ล่างสุด  โดยบล็อกสมัยนี้ไม่ได้อยู่ลำพังเดี่ยวๆ แต่มีลักษณะเป็น Community ที่รวบรวม Blog หลายๆ Blog เข้าไว้ด้วยกัน  สามารถเชื่อมโยงผู้เขียน (Blogger) ได้เป็นสังคมขนาดใหญ่  ในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงผู้อ่านไว้กับผู้เขียนได้  โดยสามารถคอมเม้นต์บทความ  ติดตาม  หรือกดโหวตได้ เช่น Blogger เป็นต้น
2. ไมโครบล็อก (Microblog) เป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก ใช้สำหรับส่งข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เพื่อบอกถึงสถานการณ์ และความเป็นไป ไมโครบล็อกที่มีผู้นิยมใช้บริการ เช่น Twitter
3. โซเชียลเน็ตเวิร์คเว็บไซต์ (Social Network Website) คือเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสังคมออนไลน์โดยเฉพาะ เช่น Facebook, Linkedin, Myspace, Hi5 เป็นต้น เว็บพวกนี้มีจุดเด่นที่การแชร์คอนเท้นต์ ทั้งข้อความ รูปภาพ และวีดีโอ บางเว็บรวมไปถึงบทความ เพลง และลิ้งค์  นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชั่นในการแสดงความรู้สึก หรือมีส่วนร่วม เช่น การกดไลค์ (Like) การโหวต การอภิปราย (Discuss) และการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น
4. เว็บโซเชียลบุ๊คมาร์ค (Bookmark Social Site) เป็นเว็บที่ให้เราเก็บหน้าเว็บ หรือเว็บไซต์ที่เราชื่นชอบ เพื่อเอาไว้เข้าชมทีหลัง แต่พอมาเป็นโซเชียลไซต์ เราจะสามารถแชร์ URL ของหน้าเว็บเหล่านั้น รวมถึงดูว่าคนอื่นเก็บหน้าเว็บอะไรไว้บ้าง เข้าชม และแสดงความคิดเห็นต่อหน้าเว็บต่างๆ ได้

โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน แบ่งได้เป็น

1. เผยแพร่ตัวตน (Identity Network) เป็นเว็บไซต์โซเชียลที่มุ่งเน้นการนำเสนอตัวตนของผู้ใช้งาน เรื่องราวของตัวเอง ภาพถ่ายของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองชอบ หรือว่าสนใจ ความคิดเห็น ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งต่างๆ เว็บที่มีลักษณะดังกล่าว ได้แก่ Facebook, Myspace เป็นต้น
2. เผยแพร่ผลงาน (Creative Network) เป็นเว็บไซต์ที่เน้นไปที่ผลงานของเจ้าของเว็บ มากกว่าตัวตนของเจ้าของผลงาน  ส่วนมากเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์คประเภทนี้  มักรวมผู้ที่ทำงานประเภทเดียวกันไว้ด้วยกัน  เช่น  เว็บรวมนักเขียนนิยาย  เว็บรวมคนรักการถ่ายภาพ  เว็บรวมนักออกแบบกราฟิก ฯลฯ  ซึ่งการสร้างเครือข่ายลักษณะนี้มักใช้ในการหาลูกค้า หรือเพื่อนร่วมอาชีพเป็นสำคัญ เช่น Coroflot, flickr, Multiply, DevianART เป็นต้น
3. ความสนใจตรงกัน (Interested Network)  เว็บไซต์ประเภทนี้คล้ายๆ กับเว็บเผยแพร่ผลงาน  คือ รวบรวมผู้ที่สนใจในเรื่องเดียวกันมาไว้ด้วยกัน แต่ต่างกันที่ Interested Network เจ้าของเว็บไม่ต้องเป็นเจ้าของผลงาน แค่แชร์ลิ้งค์ หรือเว็บที่ตัวเองสนใจ เช่น Pinterest, del.licio.us, Digg, Zickr เป็นต้น
4. โลกเสมือน (Virtual life / Game online) เป็นลักษณะการจำลองตัวของผู้ใช้งานเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเกม หรือสถานการณ์สมมุติ โดยมีเรื่องราว หรือภาระกิจให้ปฏิบัติ โดยอาจจะปฏิบัติโดยลำพังแข่งกับผู้เล่นคนอื่น หรือร่วมกันเป็นทีมก็ได้  โดยในระหว่างเล่นสามารถพูดคุย หรือสื่อสารกับผู้เล่นอื่นๆ ได้ ทำให้มีลักษณะเป็น Social Network แบบหนึ่ง  เช่น Second Life, The SIM เป็นต้น


พฤติกรรมการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ของคนไทย

พฤติกรรมของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ปรับเปลี่ยนจากการรับข่าวสารจาก Portral Site มาเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) เว็บไซต์ เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ช่วงปี 2007 หรือ พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีผลการศึกษาพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ใช้เพื่ออัพเดตข้อมูลข่าวสาร และอีก 1 ใน 3 เพื่อคุยกับเพื่อนและคนรู้จัก นั่นสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่าผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ติดตามข่าวสารจากโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) มากขึ้น

                      ในแง่ของการอธิบายถึงปรากฎการณ์ของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ยังมีการอธิบายผ่านคำว่า Social network service หรือ SNS เป็นการเน้นไปที่การสร้างชุมชนออนไลน์ซึ่งผู้คนสามารถที่จะแลกเปลี่ยน แบ่งปันตามผลประโยชน์ กิจกรรม หรือความสนใจเฉพาะเรื่อง ซึ่งอาศัยระบบพื้นฐานของเว็บไซต์ที่ทำให้มีการโต้ตอบกันระหว่างผู้คนโดยแต่ละเว็บนั้นอาจมีการให้บริการที่ต่างกัน เช่น email กระดานข่าว และในยุคหลังๆมานี้ เป็นการแบ่งปันพื้นที่ให้สมาชิกเป็นเจ้าของพื้นที่ร่วมกันและแบ่งปันข้อมูลระหว่างโดยผู้คนสามารถสร้างเว็บเพจของตนเองโดยอาศัยระบบซอฟท์แวร์ที่เจ้าของเว็บให้บริการ
ในขณะเดียวกัน Howard Rheingold ได้เขียนคำจำกัดความของคำว่า virtual Community ในหนังสือ virtual communy ว่าหมายถึง การสื่อสาร และ ระบบข้อมูล ของบรรดาเครือข่ายสังคม ซึ่งแบ่งปันในผลประโยชน์ร่วมกัน ความคิด ชิ้นงาน หรือ ผลลัพธ์บางประการที่มีการโต้ตอบกันผ่านสังคมเสมือนจริง ซึ่งไม่ถูกผูกพันโดยเวลา พรมแดน เขตแดนของหน่วยงาน และในทุกๆที่ที่บุคคลสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันผ่านระบบออนไลน์





           สำหรับตัวอย่าง Social Network อื่น ๆ เช่น twitter หรือว่า Facebook ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น social network เต็มรูปแบบอีกอย่างหนึ่ง ที่ให้ผู้คนได้มามีพื้นที่ ได้ทำความรู้จักกันโดยเลือกได้ว่า ต้องการทำความรู้จักกับใคร หรือเป็นเพื่อนกับใคร
เมื่อหันมามองเว็บไซต์ไทย ๆ กันดูบ้าง หากมองว่าเว็บไซต์ Social Network ในไทย จะมีเว็บไหนได้บ้าง ลองดูเว็บไซต์ Social Network ที่มีความชัดเจนในเนื้อหาเฉพาะด้าน เช่น Social Network เรื่องท่องเที่ยว อย่างเว็บไซต์ odoza (โอโดซ่า) ที่ให้คนที่ชื่นชอบในเรื่องท่องเที่ยว ได้มาทำความรู้จักกัน ได้มีพื้นที่ให้ share รูปภาพ หรือวีดีโอคลิป ที่ตนเองได้ไปเที่ยวมาได้่
ในขณะที่ การแบ่งหมวดหมู่ของเครือข่ายสังคมออนไลน์ อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ได้จำแนกหมวดหมู่ หรือ ประเภทของเครือข่ายสังคมออนไลน์ไว้ใน บทบาทของ Social Network ในอินเทอร์เน็ตยุค 2.0 โดยพิจารณาจากเป้าหมายของการเข้าเป็นสมาชิกในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้เป็น ๕ กลุ่มใหญ่ๆ กล่าวคือ
(๑) Identity Network คือ การแสดงตัวตนและภาพลักษณ์ของตน เช่น http://www.hi5.com/ http://www.facebook.com/
(๒) Interested Network เป็นการรวมตัวกันโดยอาศัย“ความสนใจ” ตรงกัน เช่น Digg.com
(๓) Collaboration Network เป็นกลุ่มเครือข่ายที่ร่วมกัน “ทำงาน”
(๔) Gaming/Virtual Reality หรือ โลกเสมือน ในบางครั้งเราเจอคำว่า second life ซึ่งเป็นลักษณะของเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นการสวมบทบาทของผู้เล่นในชีวิตจริงกับตัวละครในเกม และ (๕) Professional Network ใช้งานในอาชีพ “
บริการเครือข่ายสังคม ( social network service) เป็นรูปแบบของเว็บไซต์ ในการสร้างเครือข่ายสังคม สำหรับผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ต เขียนและอธิบายความสนใจ และกิจการที่ได้ทำ และเชื่อมโยงกับความสนใจและกิจกรรมของผู้อื่น ในบริการเครือข่ายสังคมมักจะประกอบไปด้วย การแช็ต ส่งข้อความ ส่งอีเมล วิดีโอ เพลง อัปโหลดรูป บล็อก การทำงานคือ คอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลพวกนี้ไว้ในรูปฐานข้อมูล sql ส่วน video หรือ รูปภาพ อาจเก็บเป็น ไฟล์ก็ได้ บริการเครือข่ายสังคมที่เป็นที่นิยมได้แก่ ไฮไฟฟ์ มายสเปซ เฟซบุ๊ก ออร์กัต มัลติพลาย โดยเว็บเหล่านี้มีผู้ใช้มากมาย เช่น เฟสบุ๊คเป็นเว็บไซต์ที่คนไทยใช้มากที่สุด ในขณะที่ออร์กัตเป็นที่นิยมมากที่สุดในประเทศอินเดีย ปัจจุบัน บริการเครือข่ายสังคม มีผลประโยชน์คือหาเงินจากการโฆษณา การเล่นเกมโดยใช้บัตรเติมเงิน


ทางจิตวิทยา

  • เครือข่ายสังคมเป็นหนึ่งในวิธีชักจูงที่ง่ายที่สุด เนื่องจากข้อมูลที่ผ่านช่องทางนี้ จะไปได้กว้างและค่อนข้างเร็ว
  • เครือข่ายสังคมเป็นอันตรายต่อความเป็นส่วนตัว เนื่องจากมีเหตุร้ายหลายประเภทที่สามารถเกิดขึ้นได้ในเครือข่ายสังคม ฉะนั้นจึงไม่ควรเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นส่วนตัว รวมถึงไปสื่อต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม ถึงแม้ว่าจะตั้งค่าความเป็นส่วนตัวแล้วก็ตาม
  • การใช้ Open Source หรือเขียนโปรแกรม เครือข่ายสังคมปลอดภัยกว่าใช้ เครือข่ายสังคมที่มีชื่อเสียง

ในแง่การใช้งาน

ความเป็นส่วนตัว

ในปัจจุบันระบบการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวค่อนข้างจะละเอียดมากขึ้น แต่ในมุมหนึ่งก็เป็นดาบสองคมเพราะว่าการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวสูงก็มักจะมีผู้ไม่หวังดีแอบเอาข้อมูลปลอมหรือทำในทางไม่ดีกับบุคคลเหล่านั้นได้ โดยโซโช่วเนตเวอร์คตัวใหม่ๆมักจะมีระบบความเป็นส่วนตัวที่ละเอียดยิ่งขึ้น ปัญหาความเป็นส่วนตัวในหลายๆกรณีมักจะสื่อถึงจิตใจคนได้อย่างมากรวมถึงระบบโซเชียลเน็ตเวิร์คเว็บไซต์เก่าๆนั้นที่จะต้องมีระบบการเพิ่มรายชื่อเพื่อนกับการรับเพื่อน

การแจ้งเตือน

สำหรับบางเว็บไซต์จะไม่มีการแจ้งเตือนเช่น วิกิพีเดีย มายสเปซ ซึ่งการแจ้งเตือนคือเมื่อมีผู้ใช้รายอื่นเคลื่อนไหวอะไรก็จะส่งข้อความมาถึงเรา
เว็บไซต์ส่วนใหญ่จะไม่มีการแจ้งเตือนเรื่องการลบเพื่อนออก

การคุ้มครองเด็ก

ในปัจจุบันนี้เว็บไซต์ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยจะมีระบบการคุ้มครองเด็กเท่าที่ควร เพราะยังเน้นต้องการโฆษณาเว็บไซต์ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก และรวมถึงทั้งแฟนเพจต่างๆของเฟดบุกที่ไม่คุ้มครองอาจจะนำพาสู่ความไม่ดีต่อเด็กเป็นได้

การก่อกวน เครือข่ายสังคมย่อมมาพร้อมกับการก่อกวน เพราะเนื่องจากเกมส์ออนไลน์เริ่มมีมาก่อน และการก่อกวนนั้นจะก่อให้เกิดความโมโหการรำคาญเพียงเพื่อความสนุก เช่น การสร้างบัญชีผู้ใช้ปลอม การใส่ภาพที่ไม่เหมาะสม หรือการว่าร้าย เป็นต้น


    ภาพที่พบเห็นในปัจจุบัน คือไม่ว่าจะไปทำอะไร ที่ไหน ภาพผู้คนในสังคมไทย คือต่างยกโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย หรือแต่ละคนกลายเป็นสังคมก้มหน้า สนใจแต่ความเคลื่อนไหวในหน้าจอเทคโนโลยีในมือ มากกว่าจะสนใจผู้คนหรือสิ่งรอบข้าง จนเหมือนว่า แต่ละคนมีโลกส่วนตัวและเรื่องราวต้องทำมากมายในโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้น อาจส่งผลในเวลาไม่นานนี้ การปฏิสัมพันธ์หรือพูดคุยระหว่างผู้คน คงเปลี่ยนรูปแบบไปสู่การเขียนบนหน้าจอเทคโนโลยีในมือ แทนการพูดด้วยปากที่ได้ยินเสียง อันแสดงถึงอารมณ์ ความรู้สึกและการรับรู้ระหว่างกัน จนในที่สุด ความเพิกเฉยต่อการรับรู้ ความรู้สึกระหว่างกัน จะลดน้อยลงไปตามลำดับ ถึงขั้นลืมวิธีการปฏิสัมพันธ์กันในชีวิตจริง
       
       ผลการวิจัยของเชอร์รี ทัคเกิล ศาสตราจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) ระบุว่า ความสัมพันธ์บนโลกออนไลน์นั้น อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในโลกแห่งความเป็นจริง โดยอาจทำให้รู้สึกเพิกเฉยต่อบุคคลอื่นหรือเรื่องใดๆ ก็ตามที่รู้สึกเบื่อ จนสร้างกำแพงขึ้นในการสนทนาจริง ขณะเดียวกัน การแชตออนไลน์ ยังมีเวลาคิดที่จะพิมพ์ตอบโต้นานกว่าการสนทนาต่อหน้า ซึ่งอาจทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารในชีวิตจริงตามมา และในไม่ช้าก็อาจทำให้ถึงกับลืมวิธีที่จะจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ในสังคมแห่งความเป็นจริงไป นอกจากนี้ผลการวิจัยของ ได้สรุปว่า คนที่ชอบสนทนาออนไลน์อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่ายนั้น จะไม่สามารถสื่อสารได้เหมือนอย่างที่ใจคิดในโลกแห่งความเป็นจริง จนอาจทำให้บางคนต้องเรียนรู้วิธีที่จะคุยกันต่อหน้าแบบปกติอีกครั้ง การพูดคุยผ่านทางหน้าจอ อาจทำให้ผู่สนทนาด้วยมีความรู้สึกที่ไม่ตรงกัน ไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริง และส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันได้ การหันหน้าคุยกันน่าจะเป็นวิธีที่ดีของสังคมมนุษย์มากกว่า


       ผู้เขียนรู้สึกห่วงใยถึงมาตรการดูแล ป้องกันและควบคุมการใช้เทคโนโลยีโซเชียลเน็ตเวิร์กในโลกออนไลน์ ในเด็กและเยาวชน ซึ่งหากไร้ผู้ปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่คอยดูแลเอาใจใส่ อาจทำให้เกิดผลเสียตามมามากกว่าผลลัพธ์ที่จะได้จากการใช้เทคโนโลยี เพราะปัจจุบันนี้ มีข่าวอาชญากรรมและความรุนแรงในครอบครัว เด็กและวัยรุ่นเกิดจากการใช้เทคโนโลยีโซเชียลเน็ตเวิร์กมากเกินไป 
       
       ข้อความห่วงใยนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับข้อเขียนในหนังสือเรื่อง อโลน ทูเกเตอร์ ของเชอร์รี ทัคเกิล ศาสตราจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) ที่ย้ำถึงความกังวล เรื่องโซเชียลเน็ตเวิร์กซึ่งจะทำให้คนกลับโดดเดี่ยวมากขึ้น และมีความเป็นมนุษย์น้อยลง ถึงกับเรียกโซเชียลมีเดียว่าเป็น “ความบ้าคลั่งของยุคสมัยใหม่” เนื่องจากเป็นโลกเสมือนจริง ที่ทำให้คนหนีห่างออกจากโลกของความเป็นจริงกันมากขึ้น และทำให้คนมีปัญหาพฤติกรรม


       
       ข้อเสนอแนะที่คิดว่า น่าจะทดแทนการใช้เทคโนโลยีและโซเชียลเน็ตเวิร์กในโลกออนไลน์ได้ คือควรหันหลังให้สิ่งเหล่านั้นบ้าง แล้วหันหน้าไปพบปะกับผู้คน สังคมในโลกแห่งความเป็นจริง อย่างน้อยก็ทำกิจกรรมอดิเรกโดยมีปฏิสัมพันธ์สื่อสารระหว่างผู้คน เพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ หรือไม่ก็อ่านหนังสือแล้วแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในสิ่งที่อ่านกับผู้อื่น หรือว่าใช้เวลาทำกิจกรรมหาความรู้ สร้างความสามารถพิเศษและพัฒนาทักษะสำคัญ เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไปในวันหน้า การพบปะพูดคุย สื่อสารกันเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่เขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก มีความมั่นใจ ดีกว่าการคุยกันแต่ในแชท ผ่านทางโซเชียล ถึงแม้จะประหยัดเวลา สะดวกรวดเร็ว แต่คุณค่าทางความรู้สึกนั้นแตกต่างกันกับการได้เห็นหน้ากันได้พูดคุยกันโดยตรง 

อ้างอิง : https://sites.google.com/site/socialnetwork057/khwam-hmay-khxng-socialnetwork
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9570000129438
https://wikipedia.org.co.th
https://www.google.co.th/webhp?sourceid=chrome-instant&ion=1&espv=2&ie=UTF-8#q=social+network+%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD


วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ 1

DREAM CATCHER


        ชนเผ่าพื้นเมืองในอเมริกาหรือที่เรียกกันว่า เผ่าอินเดียนแดง มีการสร้างงานหัตถกรรมของชนเผ่าที่เชื่อกันว่าเป็นเครื่องรางดักจับความฝัน เรียกกันว่า “Dreamcatcher”มีความหมายถึง “ตาข่ายดักฝัน” หรือ “เครื่องดักความฝัน” หัตถกรรมอินเดียนแดงชิ้นนี้เชื่อกันมาตั้งแต่โบราณว่าจะช่วยกรองฝัน ให้ฝันดีอยู่กับตัว และฝันร้ายสลายไป ลักษณะของตาข่ายดักฝันหรือเครื่องดักฝันจะเป็นห่วงวงกลม ข้างในถักทอเป็นตาข่าย และด้านล่างจะประดับประดาด้วยขนนก ลูกปัด รวมทั้งเครื่องประดับเล็กๆน้อยๆอื่นๆ
ตาข่ายดักฝันมีที่มาจากอินเดียแดงเผ่าโอจิบวี(Ojibwe) หรือ ชนเผ่าชิปเปวา (Chippewa) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองในสหรัฐอเมริกา ชนเผ่าชิปเปวาเชื่อกนว่า แมงมุมมีพลังอำนาจวิเศษที่สามารถทอใยดักจับความฝันได้เหมือนกับที่มันดักจับสัตว์เป็นอาหารนั่นเอง  แม้ว่าวันเวลาที่มีการคิดสร้างตาข่ายดักฝัน  ไม่มีใครรู้ที่มาว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ก็พอสันนิษฐานได้ว่าน่าจะก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 ไม่นาน
                                                 
   ชนเผ่าโอจิบวีเป็นอีกชนเผ่าหนึ่งที่นิยมประดิษฐ์สร้างตาข่ายดักฝันไว้เป็นจำนวนมาก กลายเป็นว่า ตาข่ายดักฝันเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชนเผ่าต่างๆที่เป็นกลุ่มน้อยอยู่ในอเมริกา จนกระทั่งมันกลายมาเป็นของขวัญของกำนัลจากร้านขายของที่ระลึกในเขตที่อยู่อาศัยของชาวอินเดียแดงในปัจจุบัน


       วัฒนธรรมอินเดียแดง ซึ่งปัจจุบันจะไม่เรียกว่า “อินเดียนแดง” แล้ว แต่จะเรียกกันว่า “ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน (Native American)” ถือว่า “ขนนก” เป็นสัญลักษณ์ของ “อากาศ” และ “ลมหายใจ” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การมีชีวิต กรรมวิธีการทำเครื่องดักฝันจะทำมาจากเกลียวเชือกจากต้นวิลโลว์ มาถักทอเป็นโครงวงกลมโดยมีตาข่ายอยู่ด้านใน
ด้านล่างจะตกแต่งประดับประดาด้วยขนนกแบบต่างๆดังนั้น ตาข่ายดักฝันหรือเครื่องดักฝัน จึงกลายมาเป็นเครื่องรางมงคลที่นิยมห้อยแขวนไว้เหนือเปลเด็กในทางคติความเชื่อก็คือ เครื่องหมายนำอากาศเข้าสู่ลมหายใจและนำโชคดีมาให้เด็กๆ
                                        
        ส่วนทางจิตวิทยาก็คือ ตาข่ายดักฝันประดับขนนกเหล่านี้จะทำหน้าที่ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆได้เป็นอย่างดี เพราะสายตาที่จับจ้องมองการแกว่งไกวของขนนกที่ส่ายไหวดั่งระบำขนนก จะช่วยทำให้ทารกมีพัฒนาการการเรียนรู้ทางสายตาและกล้ามเนื้อต่างๆได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันมันคือเครื่องรางที่ช่วยกรองฝันดีมาสู่เด็กๆ และสกัดฝันร้ายไม่ให้มากล้ำกราย แต่ถึงกระนั้น ก็มีวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่นำไปแขวนประดับเหนือเตียงนอน จนกลายเป็นแฟชั่นแบบอย่างหนึ่ง แต่ทว่า การดักจับความฝันคงทำไม่ได้กับนิสัยพวกเขา เพราะวัยผู้ใหญ่นั้นจิตใจไม่ได้ใสสะอาดเหมือนเด็กๆ เครื่องดักฝันจึงอาจไม่ช่วยอะไรไม่ได้เลย
      ยังมีเครื่องรางต่างๆอีกมากมายที่เชื่อว่ามีอำนาจพิทักษ์ความฝัน  ซึ่งถูกนำมาใช้ห้อยแขวนเหนือตียงนอนขวางทารกและเด็กๆเพื่อปกป้องให้พ้นจากฝันร้ายและหลบเลี่ยงพลังอันชั่วร้ายที่มองไม่เห็นได้สำเร็จ แต่หลายๆคนกลับนิยมเลือกตาข่ายดักฝัน ด้วยเพราะมนุษย์สัมผัสได้ถึงอำนาจเร้นลับจากสิ่งชั่วร้ายที่อาจซ่อนตัวอยู่ในกระจก ต้นไม้ หรือกรอบหน้าต่าง ดังนั้น การแขวน “ตาข่ายดักฝัน” ก็เพื่อช่วยปกป้องเด็กๆให้พ้นจากภัยมืด เพราะฝันร้ายเหล่านั้นจะถูกกักขังไว้ในตาข่ายไม่ให้ออกไปไหนอีกเลย จนกระทั่งถึงยามผ้าสาง ฝันร้ายจะมลายหายไปเอง ส่วนฝันดีจะถูกกรองผ่านรูตาข่ายไปสู่เด็กๆ ตลอดยามราตรี
                            


            จากวัฒนธรรม พื้นเมืองอเมริกัน รูปแบบรูปร่างของ ดรีมแคชเชอร์ มีลักษณะคล้าย ใย แมงมุม  ชาว Ojibwe เรียกว่า " บ่วง ความฝัน " เป็นชิ้นงานที่ทำด้วยมือ  ขึ้นรูปตาม ห่วง วิลโลว์ (เป็นต้นไม้จำพวกหลิว) ซึ่ง ถักทอ แบบหลวม ๆ  Dreamcatcher ตกแต่ง ด้วย ขนสัตว์ และลูกปัด ที่ผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์



ภายหลังจากนั้น Dreamcatchers ในแบบของชาว Ojibwe ถูกประเทศ เพื่อนบ้านนำมาใช้  โดยเมื่อแต่งงาน หรือ ติดต่อค้าขายจึงได้รับวัฒนธรรมนี้มาใช้  จนกระทั่งมีการโยกย้ายถิ่นฐานของชาว แพน อินเดีย ในช่วง ปี 1960 - ปี 1970 มีการถูก นำมาใช้ โดยชาวอเมริกัน พื้นเมือง หลายประเทศมากขึ้น  มีความเชื่อต่างกัน   บางคนคิดว่า Dreamcatcher เป็นสัญลักษณ์ ของความสามัคคี ในหมู่ประเทศ อินเดียน และสัญลักษณ์ ของประชาชน ทั่วไป ที่มี รากเหง้าวัฒนธรรมมาจากชนพื้นเมืองอเมริกัน  แต่อย่างไรก็ตามหลายคน อเมริกันพื้นเมือง อื่น ๆ ได้ มองเห็น Dreamcatchers ถูกคนต่างถิ่นนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ มากเกินไป  และ ตำหนิคนที่ไม่ใช่ชาวพื้นเมืองที่นำไปใช้ในทางที่ผิด .

                                        


      ชาว Ojibwe มีตำนาน โบราณ เกี่ยวกับต้นกำเนิด ของ Dreamcatcher นิทาน พูดถึง เทพธิดาแมงมุม ที่มีชื่อเรียกว่า Asibikaashi ; เธอเข้ามา ดูแลเด็กและผู้คนที่อยู่ในดินแดนนี้  ในที่สุด เมื่อชาว Ojibwe แพร่กระจายไปอยู่ มุมของ ทวีปอเมริกาเหนือ และ มันก็กลายเป็น เรื่องยากขึ้นสำหรับ เทพธิดาแมงมุม Asibikaashi ในการเข้าไปดูแลเด็กทุกคนให้ทั่วถึง   ดังนั้น เธอได้มอบหมายให้ทุก ๆ บ้าน ผู้เป็นแม่และ ยาย จะเป็นผู้ สาน ใย วิเศษ สำหรับเด็กโดยใช้ ห่วง วิลโลว์ (พืชตระกูลหลิว) และ เส้นเอ็น หรือ สายระโยงระยาง ที่ทำจาก พืช   สานขึ้นเป็นตาข่ายกับดักฝันร้าย  โดย ดรีมแคชเชอร์จะ กรองฝันร้าย ทั้งหมดออกไป และอนุญาตให้ ความคิด ที่ดีเข้าสู่ จิตใจของเรา   เมื่อ ดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า  ฝันร้าย ทั้งหมดก็จะถูกแผดเผาและหายไปในที่สุด  
                                          

                 มีความเชื่ออีกว่า ดรีมแคชเชอร์ Dream Catcher หากมอบให้เด็กทารก จะมีเสน่ห์ และ ป้องกันเภทภัยอันตราย   แขวนไว้เหนือเปลที่เด็กนอน   Dream Catcher ห่วงไม้ สานลาย " ใยแมงมุม " ประกอบไปด้วย ห่วงไม้กลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 ½ นิ้ว  ลายใยแมงมุมนี้ถักจากเส้นด้ายที่เป็นวัสดุชั้นดี  มักจะย้อมสีแดง  ในอดีต ตาข่ายนี้ทำจากเส้นใยตำแย   ดรีมแคชเชอร์ห่วงใยแมงมุมนี้ถูกแขวนเพื่อดักจับสิ่งที่เป็นเภทภัยอันตรายที่ลอยอยู่ในอากาศ  สิ่งที่เข้ามาจะถูกมันจับไว้


       ตามประเภณี ชาว Ojibwe ทำ Dreamcatchers โดย ถัก เส้นเอ็น หรือ ใย ไว้ในห่วงวงกลม หรือ ห่วงวิลโลว์รูปหยดน้ำตา   ( ในลักษณะ คล้าย ๆ วิธีการทำสายรัดรองเท้าลุยหิมะ )  สร้างให้เกิดเป็น " เครื่องรางกับดักฝันร้าย " แขวนไว้เหนือเตียงที่จะใช้ในการปกป้อง เด็กทารก และ ผู้คน ที่นอนหลับ จาก ฝันร้าย

               ชาว Ojibwe เชื่อว่า Dreamcatcher เปลี่ยนความฝันของผู้คนได้  ความฝัน ที่ดี เท่านั้นที่ จะได้รับอนุญาต ให้ผ่านเข้ามาได้ ... ความฝันที่ไม่ดีจะอยู่ในตาข่ายซึ่งจะถูกทำลายไปด้วยแสงอาทิตย์ของวันใหม่  ส่วนความฝันที่ดีจะเคลื่อนตัวผ่านลงมาที่ขนนกลงไปยังคนที่กำลังนอนหลับ .

บางความเชื่อคำอธิบายว่า " ฝันร้ายผ่านช่องตาข่ายและออกไปทางหน้าต่าง   ส่วนฝันดีจะติดอยู่ในตาข่ายแล้วเลื่อนลงตามขนนกไปหาคนที่นอนหลับอยู่
                                          



Dreamcatcher 

ส่วนประกอบ

ดรีมแคชเชอร์ กับดักฝันร้าย แบบดั้งเดิม ชาว Ojibwe ใช้ ห่วง วิลโลว์ (พืชตระกูลหลิว) และ เส้นเอ็น หรือ สายระโยงระยาง ที่ทำจาก พืช รูปร่างของ Dreamcatcher เป็นวงกลม เพราะมันแสดงให้เห็นถึง วิธีการที่ ดวงอาทิตย์ , ดวงจันทร์ , ดวงดาว  เดินทางข้ามฟากฟ้าในแต่ละวัน  แทนความหมาย ด้วยห่วงลูกปัด ที่ฝังตัวอยู่ในทุกสายที่ถักทอเป็นส่วนหนึ่งของ Dreamcatcher
ตาข่าย ดักฝันร้าย ถือว่าเป็นเครื่องรางที่ใช้ธรรมชาติบำบัด ด้วยธรรมชาติ โดยมีวิธีการใช้งานที่น่าสนใจ โดยชาวพื้นเมืองของอินเดียนแดง เป็นผู้ที่คิดค้นและทำขึ้นมา มีความเชื่อว่า

ตาข่าย จะทำหน้าที่ดักจับสิ่งที่ไม่ดี ฝันร้าย หรือ เรื่องราวไม่ดี ในความฝันของผู้ฝันนั้น 

ลูกปัด จะทำหน้าที่ ปัดเป่าสิ่งไม่ดี

ขนนก หรือ ขนไก่ จะทำหน้าที่ ปัดเป่าสิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้าย ฝันร้าย (เรื่องของขนนก และขนไก่ พลังงานของขนทั้งสองแบบ ให้พลังงานที่ต่างกัน 

ขนนก เป็นพลังงานของการปัดเป่าสิ่งไม่ดี ให้ลอยออกไปดังสายลม แล้วพลังงานแห่งสายลมนั้นก็พัดพาพลังงานแห่งโชคชะตาความโชคดีพัดพาเข้ามา 

ขนไก่ เป็นพลังงานแห่งนักสู้ และมีสัมผัสพิเศษ ตามสัญชาติญาณแห่งสายพันธุ์ ทำให้ผู้ที่อยู่ภายใต้ขนไก่นี้ มีพลังงานแห่งการต่อสู้ฝ่าฟัน และไม่ท้อถอยกับความท้อแท้ และมีเซนส์ในการสัมผัสสิ่งที่อยู่รอบตัว โดยที่สัมผัสนั้นอาจทำให้รู้สึกไว และหลบหลีกได้ ขนไก่จะปัดเป่าความท้อแท้ ให้สัมผัสกับสิ่งที่อยู่รอบตัว เพื่อปัญหานั้นได้แก้ไขและผ่านไป)

เคล็ดลับของการใช้ตาข่ายดักฝัน 
ต้อง ให้ถูกแสงอาทิตย์บ้าง หรือภายในห้องที่มีแสงแดดเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเพียงพอ 

ความนิยมของ Dream Catcher

ดรีมแคชเชอร์ เป็นที่นิยมมากในชาว Ojibwe  , และ ต่อมาใน ชาว แพนอินเดียน , " Dreamcatchers " จำนวนหลายชนิดมากมายที่มีความคล้ายคลึงกับรูปแบบดั้งเดิมที่ทำน้อยลง   ตอนนี้มีการจัดแสดง และ ขาย โดยคนรุ่นใหม่   หลายกลุ่ม มีการสร้างแบบเฉพาะของตัวเองขึ้นเอง  จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์โดย คนพื้นเมืองให้สนับสนุน Dream Catcher แบบดั้งเดิมของพวกเขาเพื่อรักษาวัฒนธรรมไว้ .  


ข้อมูล : haibei-land.exteen.com  และ ภาพจาก google
http://dreamcatcherthailand.blogspot.com/2014/04/dream-catcher.html
http://bossza1904.blogspot.com/2014/01/dream-catcher.html
http://www.tlcthai.com/horo/horo-about/4056.html
http://--ame--.exteen.com/20070805/the-dreamcatcher
http://www.clipmass.com/story/24383
จากหนังสือมหัศจรรย์แห่งสัญลักษณ์เครื่องรางและเคล็ดลับนำโชคDreamcatchers